คุกกี้ธัญพืช: กุมภาพันธ์ 2014

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ผลงานที่สำเร็จ

อร่อยมากๆคะ

สุดยอด!

น่ากินมากเลย

คุกกี้ธัญพืชเเซ่บอิหลีเด้อ

คุกกี้ธัญพืช

ตัวอย่างการทำคุกกี้ธัญพืช

ที่มา http://youtu.be/5D-BVq7ZUe4

คุกกี้ธัญพืชผสมมะม่วงหิมพานต์

ประโยชน์ของมะม่วงหิมพานต์

มะม่วงหิมพานต์ เป็นพืชพื้นเมืองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล ปัจจุบันมะม่วงหิมพานต์พบได้ทั่วไปในภูมิภาคเขตร้อน เพราะเติบโตได้อย่างเหมาะสมในสภาพอากาศที่ชื้น และอบอุ่น ทั้งในเอเชีย และอเมริกาใต้ นิยมใช้เนื้อภายในเมล็ดเป็นอาหารว่าง และยังเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกของอินเดีย เวียดนาม และบราซิล ทั้งสามประเทศนี้ มีอัตราการส่งออกถึง 90% ของผลิตภัณฑ์เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ทั่วโลก โดยนิยมนำเมล็ดและผลมารับประทาน และคุณรู้หรือไม่ว่าเมื่อเราซื้อเมล็ด มะม่วงหิมพานต์ดิบจากร้านค้าทั่วไปความจริงแล้วเมล็ดดังกล่าวไม่ได้ดิบไป เสียทั้งหมดเพราะว่ามันผ่านการนึ่งและแกะเปลือกมาแล้ว โดยเปลือกของมะม่วงหิมพานต์ดิบของมันก็มีพิษเหมือนกันโดยมีสารพิษ ชื่อ urushiol, พิษที่ระคายเคืองต่อผิวหนังอย่างรุนแรงที่พบในไม้เลื่อย หากกินมากจะเกิดอันตรายต่อร่างกายรุนแรง ดังนั้นเวลาจะรับรับประทานผลเนื้อ จะต้องนำเกาะเปลือกเมล็ดสีเขียวเข้มก่อน นอกจากนี้ยางจากมะม่วงหิมพานต์ ยังมีพิษทำลายเนื้อที่เป็นก้อนไต เช่น ตาปลา

เม็ดมะม่วงหิพานต์มีแร่ธาตและวิตามินต่างๆ เช่นแมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก นอกจากนั้นยังมี วิตามินอ ซึ่งเป็นสารบำรุงสมองที่สำคัญในปริมาณมากระดับเดียวกับถั่วลิสง เมล็ดมะม่วงหิพานต์มีเส้นใยสูงช่วยการทำงานของลำไส้ ส่วนอื่นของต้นมะม่วงหิมพานต์ก็ยีงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อีก เช่นใบ นำมาบดให้ละเอียดใช้พอกแผลไฟไหม้ ยอดอ่อน กินแก้ท้องร่วง ยางนำไปทำน้ำหมึก น้ำมันขัดเงา เป็นต้น

คุกกี้ธัญพืชกับงาดำ

ประโยชน์ของงาดำ

“การรับประทานงาดำไม่แนะนำให้โรยเคี้ยว ปกติก็รับประทานอยู่ ใส่กับขนมปังโฮลร่างกายอาจจะดูดซึมไม่ได้เต็มที่ เข้าไปอย่างไรก็ออกมาอย่างนั้น ดังนั้นต้องเดี๋ยวนี้เห็นเขาทำน้ำเต้าหู้งาดำขาย อันนั้นก็รับประทานได้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นวัยสูงอายุหน่อยหรือเข้าสู่วัยทองก็เพิ่มปริมาณให้มากหน่อย คือ อาจจะ 6-9 ช้อนก็ได้"วีตทุกเช้า วันละ 10 ช้อน แต่ถ้าเป็นวัยรุ่น วันทำงาน ก็อาจจะไม่ต้องมากขนาดนี้ อาจจะประมาณวันละ 3-4 ช้อน หรือในข้าวหรือใส่กับเครื่องดื่ม เพราะวิธีการรับประทานงาดำที่ดีที่สุดคือการเคี้ยว หากเราโรยข้าวหรือใส่เครื่องดื่ม บางครั้งไม่ได้เคี้ยว

งา ( sesame ) อุดมคุณค่าทางโภชนาการมาก เมล็ดงา 100 กรัม มีไขมันถึง 45-60 กรัม เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ( monounsaturated fat )และเชิงซ้อน ( polyunsaturated fat ) ในสัดส่วนพอๆกัน ( 40-42% ) รวมกันแล้วเป็นสัดส่นไขมันไม่อิ่มตัวถึง 80-82% เป็นน้ำมันพืชคุณภาพดีระดับรองจากน้ำมันมะกอก ไขมันไม่อิ่มตัวในเมล็ดงามีกรดโอเลอิก และไลโนเลอิกสูง อันเป็นกรดไขมันจำเป็นสำหรับร่างกาย โดยเฉพาะกรดไลโนเลอิกจำเป็นมากสำหรับบำรุงเซลล์ ช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันเกล็ดเลือดแข็งตัว และหลอดเลือดหัวใจตีบ

ในเมล็ดงามีโปรตีนสูงถึงประมาณ 20% ประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นสำหรับร่างกายถึง 2 ชนิด คือ เมทธีโอนีน ( methionine ) และทริปโตเฟน ( tryptophan ) แต่โปรตีนในถั่วส่วนใหญ่เป็นกรด อะมิโนไลซีน ( lysine ) ด้วยเหตุนี้ นักมังสวิรัติจึงนิยมบริโภคงาควบคู่กับถั่ว เพื่อให้ได้โปรตีนจำเป็นสำหรับร่างกายครบถ้วน งามีชื่อเสียงเป็นยามาแต่โบราณ หมออายุรเวทใช้งารักษาอาการเจ็บป่วยหลายๆอย่าง เช่น โลหิตจาง ริดสีดวงทวาร รักษาผิวหนังแตกไหม้ หรือน้ำร้อนลวก โดยเอางาบดผสมกับน้ำและน้ำมะนาวทาที่ผิวหนังหรือแผล บรรเทาอาการปวดท้องเพราะประจำเดือนมาในเด็กสาว เอางาบด 1 ช้อนชา ชงกินกับน้ำ 2 ครั้งต่อวัน

“งาดำเป็นอาหารสารพัดประโยชน์ ช่วยบำรุงหลายส่วนของร่างกาย ทั้งผม ผิวพรรณ เล็บ กระดูก เพิ่มแคลเซียม ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ บำรุงหัวใจให้แข็งแรง มีกรดไขมันดีมาก มีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายหลายชนิด แม้คนที่ยังเด็กหรือไม่มีอาการป่วย ก็ควรรับประทานเป็นประจำเพื่อสร้างต้นทุนทางสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกายตัวเอง และสำหรับผู้หญิงที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยทอง งาดำจำเป็นมาก เพราะจะช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้ผลเนื่องจากมีแคลเซียมสูง”